‘กิฟฟารีน’ติดโผท็อป 100 ขายตรงทำเงินทำอันดับ 56 เวทีโลก

“กิฟฟารีน” แบรนด์ขายตรงพันธุ์ไทยผงาดเวทีโลก หลังถูกจัดอันดับติดทำเนียบในกลุ่มบริษัทขายตรงชั้นนำของ โลก 100 ลำดับแรกที่มีผลประกอบการสูงสุดประจำปี 2011 ซึ่งกิฟฟารีนเป็นบริษัทขายตรงหลายชั้นแบรนด์ไทยเพียง แบรนด์เดียวที่ได้รับการจัดอันดับที่ 56 โดยนิตยสาร Direct Selling News ใน สหรัฐอเมริกา ตอกย้ำผู้นำแบรนด์ขายตรง เลือดไทย ส่วนการขยายตลาดรับ AEC เตรียมปักธงเวียดนาม, อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์


จากการประกาศผลการจัดอันดับในเว็บไซต์ www.directsellingnews.com (The 2011 Direct Selling News Global 100) เพื่อจัดอันดับบริษัทขายตรงชั้นนำจาก ทั่วโลกที่มีผลประกอบการสูงติดอันดับ 1-100 โดยนิตยสาร Direct Selling News ในประเทศสหรัฐอเมริกา นิตยสารดังกล่าวเป็นนิตยสารที่นำเสนอเนื้อหาข่าวสารข้อมูล ในอุตสาหกรรมขายตรงโลกในเชิงวิเคราะห์ เจาะลึก และอัพเดตข่าวสารของบริษัทขายตรงชั้นนำทั่วโลก เพื่อให้ผู้อ่านได้เรียนรู้และนำไปใช้ในธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ โดยพิจารณาจากข้อมูลผลประกอบการปี 2554 ของบริษัทเครือข่ายชั้นนำทั่วโลก ผลการจัดอันดับล่าสุดได้จัดอันดับให้ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด อยู่ในลำดับที่ 56 ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงหลายชั้นจากประเทศไทยรายเดียวที่ติดอันดับ Top 100 ในกลุ่มบริษัทขายตรงชั้นนำทั่วโลกที่มีผลประกอบการสูงที่สุดตามลำดับ ด้วยตัวเลขผลประกอบการที่ 169 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า “เป็นความภาคภูมิใจของกิฟฟารีน บริษัทเครือข่ายสัญชาติไทย ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทขายตรงจากประเทศไทยที่สามารถสร้างผล ประกอบการสูงติดอันดับหนึ่งใน 100 ลำดับ แรกของโลก นับเป็นการตอกย้ำจุดแข็งในเรื่องของความสำเร็จของการเติบโตทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในด้าน การสร้างแบรนด์ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เป็นสำคัญ ซึ่งกิฟฟารีนได้ทุ่มเทและให้ความ สำคัญอย่างต่อเนื่องตลอดระยะของการดำเนินธุรกิจ จึงถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จครั้งสำคัญของผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค และนักธุรกิจเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ จึงนำมาซึ่งยอดจำหน่ายที่บ่งบอกถึงการได้รับการยอมรับในวงกว้าง

“ยิ่งไปกว่านั้น การได้รับการจัดอันดับ ในครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งสำหรับกิฟฟารีน ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้ เลย หากขาดความร่วมมือร่วมใจและทุ่มเท ของเครือข่ายนักธุรกิจและสมาชิกผู้บริโภค รวมถึงพนักงานกิฟฟารีนทั้งที่สำนักงาน โรงงาน และศูนย์ธุรกิจทุกคน ที่นำมาซึ่งหลากหลายรางวัลที่กิฟฟารีนได้รับ และการ ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค จึงเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของกิฟฟารีนที่ได้มุ่งมั่นทุ่มเทในการพัฒนา ผลิตภัณฑ์คุณภาพ การสร้างความสำเร็จอย่างแท้จริงให้แก่นักธุรกิจ กิฟฟารีน รวมถึงการสร้างแบรนด์ต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 16 ปี จึงเป็นที่มาของยอด จำหน่ายที่สามารถนำพาชื่อเสียงจนติดอันดับ Top 100 ของโลก” พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติม

กิฟฟารีนเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น 10% ทุกปี มียอดจำหน่ายรวมประจำปี 2554 ทั้งสิ้น 5,488 ล้านบาท มีผลประกอบการโดยรวมแล้วเกินกว่า 45,000 ล้านบาท พร้อมทั้งมอบผลประโยชน์ให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนไปแล้ว เกินกว่า 20,700 ล้านบาท มีสมาชิกมากกว่า 6,000,000 รหัส และมีนักธุรกิจกิฟฟารีนที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้มีรายได้รวมเกินกว่าหลักล้านขึ้นไปแล้วมากกว่า 1,000 คน มีระบบสนันสนุนทางการตลาดที่มอบประโยชน์สูงสุดในการขยายเครือข่ายผู้บริโภค ของนักธุรกิจ และในการขยายตลาด ในต่างประเทศกิฟฟารีนได้เปิดตลาดอย่างเป็นทางการใน 4 ประเทศ คือ พม่า, กัมพูชา, ลาว และมาเลเซีย และมีแผนการขยายธุรกิจไปยังประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ และปัจจุบันกิฟฟารีนมีศูนย์ธุรกิจทั่วโลกกว่า 141 สาขา โดยมีสาขาอยู่ในประเทศ 112 สาขา

ด้านนายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส แรกของปีนี้มีอัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้า โดยเติบโตขึ้นประมาณ 7-10% ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายของบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เกิดจากแผนการดำเนิน งานต่างๆ ที่มีความชัดเจน โดยเฉพาะการ เตรียมป้องกันโรงงานรับมือสถานการณ์น้ำท่วมปี 55 หลังจากบริษัทเคยได้รับผลกระทบจากวิกฤติมหาอุทกภัย ซึ่งกระทบฐานการผลิตที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนครนานเกือบ 2 เดือน เมื่อปลายปี 2554

“การกู้โรงงานส่งผลให้สถานการณ์ของบริษัทดีขึ้น เนื่องจากขวัญและกำลังใจของสมาชิกเริ่มกลับมา กำลังการผลิตก็เดินเครื่องได้เช่นเดิม จึงทำให้บริษัทผลิตสินค้าออกมาเพียงพอต่อความต้องการของ ผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรก ของปีนี้มีอัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้า”

นอกจากสถานการณ์โรงงานที่เริ่มกลับมาผลิตได้อย่างเต็มกำลังแล้ว นายพงศ์พสุ ยังเปิดเผยต่อว่า ปัจจัยอีกด้านหนึ่งที่ทำให้เป้าหมายในไตรมาสแรกประสบ ความสำเร็จ คือ การที่บริษัทได้จัดงานฉลอง ครบรอบ 16 ปีเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานดังกล่าวบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อ สุขภาพ 2 รายการด้วยกัน คือ กิฟฟารีน อะบาโลน โกลด์ 3X และGluta-Curcuma CE โดยกิฟฟารีน อะบาโลน โกลด์ 3X เป็น ผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดมาจากอะบาโลนเดิม แต่บริษัทได้เพิ่มความเข้มข้นของคอลลาเจนขึ้นถึง 3 เท่า และเพิ่มส่วนผสมใหม่ คือ มิกซ์เบอร์รี่กับไซเบอร์จากผลไม้ ผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวจึงถือเป็นอีกหนึ่งกำลังที่จะสร้างยอดขายให้กับบริษัท

ทั้งนี้ นางพงศ์พสุ ยังได้กล่าวในตอน ท้ายว่า “การเปิดตลาด AEC ตนมองว่า เป็น สัญญาณบวกมากกว่าสัญญาณลบ เพราะตลาด AEC จะเป็นฐานธุรกิจสำคัญ ที่ทำให้กิฟฟารีนเติบโตไปอีกขั้นหนึ่ง แต่การที่เราจะสร้างโอกาสในการเปิดตลาดเสรีอาเซียนได้ เราต้องพยายามศึกษาความเสี่ยงต่างๆ ของการเข้าไปขยายเครือข่าย ในแต่ละประเทศให้มากขึ้น อย่างไรก็ดี ตนมั่นใจว่าด้วยศักยภาพที่บริษัทมี และคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์น่าจะทำให้ตลาดต่างประเทศ มีอัตราการเติบโตที่ดี”

ที่มา สยามธุรกิจ http://www.siamturakij.com